ล้างรถอย่างถูกวิธี สำหรับมือใหม่และมืออาชีพ

ล้างรถ อย่างถูกวิธีเป็นเรื่องสำคัญ การล้างรถหรือทำความสะอาด สำหรับบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้อำนวยความสะดวกในการเดินทางและสามารถพาคุณเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ดังนั้น การทำความสะอาดรถยนต์ของคุณจึงเลือกวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วก็เพียงพอแล้ว แต่บุคคลที่ชื่นชอบและหลงไหลในรถยนต์หรือยานพาหนะอื่นๆ การทำความสะอาดคงจะเป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนที่สุดอย่างหนึ่ง ถึงแม้อายุของรถยนต์นั้นจะผ่านกาลเวลามานานแล้วก็ตาม คุณจะยังคงดูแลรักษาเพื่อให้รถยนต์สุดรักนั้น ยังคงสดใสและดูใหม่อยู่ตลอดเวลา

ทำไมต้องล้างรถอย่างถูกวิธี?

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่า รถยนต์ของคุณมักพบรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆ หรือ รอยขนแมวจำนวนมาก ทั้งๆคุณก็ล้างรถเป็นประจำ ไม่ว่าจะล้างเอง หรือ ล้างที่ร้านก็ตาม ซึ่งการล้างรถที่ผิดวิธี อาจทำให้เกิดผลเสียต่อรถของคุณอย่างไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น การถูฟองน้ำโดยตรงบนคราบดินโคลน หรือ เศษฝุ่น เม็ดทรายหรือฝุ่นที่อยู่ภายในฟองน้ำ จะขูดไปมาเสมือนเป็นกระดาษทรายแผ่นหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดรอยขนแมว หรือ รอยขีดข่วนเล็กๆบนผิวรถของคุณอย่างไม่รู้ตัว นอกจากนี้การที่ใช้ผ้าเช็ดรถที่ไม่สะอาด ก็จะทำให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผ้า สร้างรอยขีดข่วนใหม่ๆได้เช่นกัน ดังนั้น การล้างรถอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะหลีกเลี่ยง หรือ ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

ภาพตัวอย่าง ฟองน้ำที่ควรใช้สำหรับล้างรถเพื่อป้องกันการเกิดรอยจากเม็ดทราย คือ ภาพด้านซ้ายมือ ฟองประเภทนี้จะมีรูพรุนจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยดักเก็บเศษเม็ดทรายหรือฝุ่น ที่ยังคงติดค้างอยู่บนผิวรถขณะล้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดทรายเหล่านั้นไปถูหรือสัมผัสกับผิวรถจนเกิดรอยขณะล้างนั่นเอง

ขั้นตอนที่ 1: ล้างรถ และ คราบสกปรก ด้วยน้ำเปล่าก่อนเสมอ!

ทำความสะอาดคราบสกปรกด้วยน้ำเปล่าก่อนเริ่มลงแชมพูก่อนเสมอ หากผู้ล้างมีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง จะยิ่งช่วยให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นหลุดออกง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดทั้งแรงและเวลาอีกด้วย แต่หากไม่มีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ให้คุณใช้น้ำเลี้ยงตลอดเวลาในระหว่างที่ใช้ฟองน้ำทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า เพื่อให้คราบสกปรกนั้นไม่ค้างอยู่บนฟองน้ำหรือผิวรถ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยเพิ่มขึ้นไปอีกนั่นเอง

ขั้นตอนที่ 2: ทำความสะอาดด้วยแชมพู

เลือกผลิตภัณฑ์แชมพูที่เหมาะสำหรับล้างรถ โดยขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคน ซึ่งราคาแชมพูมีตั้งแต่ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน ซึ่งจะมีส่วนผสมและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามราคา หรือ คุณอาจเลือกใช้แชมพู Auto Potion Ceramic Shampoo ที่มีส่วนผสมของ Ceramic ที่จะช่วยเพิ่มความเงางาม และมีคุณสมบัติ Hydrophobic ลดการเกาะของน้ำบนผิวรถ ก็ได้เช่นกัน

ขั้นตอนที่ 3: ขจัดสิ่งสกปรกฝังแน่นด้วยดินน้ำมัน หรือ Clay Bar

ล้างรถด้วยแชมพูเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ดังนั้น การใช้ดินน้ำมัน หรือ Clay Bar จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึกบนชั้น Clear Coat ออก สำหรับการใช้งานดินน้ำมันล้างรถ ข้อสำคัญ คือ ห้ามใช้ในขณะที่แห้งอยู่ คุณจะต้องทำให้ผิวนั้นเปียกก่อนลูบ หรือ ใช้ดินน้ำมันเสมอ มิฉะนั้นดินน้ำมันจะติดกับผิวของรถ หลังจากนั้นให้เช็ดแห้งอีกครั้งหลังลูบดินน้ำมัน คุณจะสัมพัสได้ถึงความลื่นของผิวรถยนต์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด หากลองเทียบบริเวณที่ลูบดินน้ำมันแล้ว กับ บริเวณที่ยังไม่ได้ลูบดินน้ำมัน คุณจะพบความแตกต่างอย่างแน่นอน

ขั้นตอนที่ 4: การเช็ดแห้ง

การเช็ดแห้งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรระมัดระวังในการใช้ผ้า หากคุณเลือกใช้ผ้าที่ไม่สะอาด และไม่แยกประเภทของผ้าในการใช้งาน เช่น ผ้าสำหรับเช็คตัวรถ กับ ผ้าสำหรับเช็ดล้อรถ ซึ่งหากนำผ้าที่เช็ดล้อรถมาเช็ดบริเวณตัวรถด้วย อาจก่อให้เกิดรอยขีดข่วน หรือ รอยขนแมวได้ ดังนั้นควรใช้ผ้าแยกประเภท อย่างน้อย 2 ผืน สำหรับผ้าที่แนะนำคือ ผ้าไมโครไฟเบอร์ และ ผ้าแบบ Twist Loop ที่ซึมซับน้ำได้ดีมาก คุณอาจจะใช้เพียงผืนเดียวก็สามารถเช็ดรถของคุณได้ทั้งคัน

ขั้นตอนที่ 5: เคลือบผิวด้วยสเปรย์แกรฟีน

ในการเคลือบผิวด้วย สเปรย์แกรฟีน คุณต้องแน่ใจก่อนว่าผิวรถของคุณแห้ง และไม่มีความร้อน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์ หลังจากนั้น เริ่มต้นด้วยการสเปรย์น้ำยาลงบนผิวรถ และทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้น้ำยาเซ็ตตัว เมื่อครบเวลาที่กำหนด ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์สะอาด เช็ดออกเพียงเบาๆ เท่านี้ เป็นอันเสร็จสิ้นการเคลือบผิวรถด้วยสเปรย์แกรฟีน เรียบร้อยแล้ว คุณจะได้ผิวสัมผัสที่มีความลื่น เงางาม และยังช่วยลดการเกิดรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆได้จากคุณสมบัติของ แกรฟีน